นอนให้พอ...ต้านความเจ็บปวดได้

รุู้กันดีอยู่แล้วว่าการนอนหลับมีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมายแค่ไหน ทั้งในแง่การเสริมสร้างเซลล์ ซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ทำให้ร่างการยแข็งแรง อวัยวะต่างๆทำงานได้เต็มที่แล้ว การนอนหลับยังมีผลต่อความเจ็บปวดของร่างกายอีกด้วย ผลจากการทดลองของ The American Academy of Sleep Medicine ที่แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่นอนตามเวลาปกติของพวกเขา กับอีกกลุ่มที่ให้นอนยาว 10 ชั่วโมงต่อคือ จากนั้นก็นำไปทดสอบการตอบสนองต่อความเจ็บปวด โดยใช้รังสีความร้อนส่องไปที่น้ิวมือของอาสาสมัคร พบว่ากลุ่มคนที่นอนหลับนานกว่าดึงมือออกช้ากว่าคนกลุ่มแรกที่นอนเป็นปกติ เพราะแม้พวกเขาจะรู้สึกตื่นตัว แต่กลับรู้สึกว่าเจ็บปวดน้อยกว่าคนกลุ่มแรก นอนให้พอคือดีจริงๆ
pitchapa...
ขอบคุณข้อมูลจาก Preawmagazine - July 2017
update 13/09/2017
***************************************************************************************
การเดินแต่ละนาทีดีอย่างไร

เรารู้กันดีว่าแค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย เพราะทุกการเคลื่อนไหวสามารถช่วยให้ร่างการยแข็งแรงขึ้นได้ ซึ่งการเดินถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานที่ง่ายที่สุด มาเจาะลึกกันว่าในแต่ละช่วงนาทีของการเดินนั้นให้ประโยชน์อะไรกับร่างกายเราบ้าง
การเดินนาที่ 1-5 ในก้าวแรกๆของการเดินจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ปล่อยสารบางชนิด ชีพจรจะเร่งขึ้นเป็น 70-100 ครั้งต่อนาที กระตุ้นการไหลเวียนจองโบหิตแบะให้ความอบอุ่นแก่กล้ามเนื้อ ไขข้อที่ฝืดและตึงจะคลายตัวลงเพื่อให้การเคลื่อนไหวทำได้ง่ายขึ้น เมื่อเคลื่อนที่ไปร่างกายจะเผาผลาญพลังงาน 5 แคลอรี่ต่อนาที
การเดินนาทีที่ 6-10 ชีพจรจะเต้นเร็วขึ้น ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 6 แคลอรี่ต่อนาทเมื่อก้าวเท้าได้มากขึ้นความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้เลือดและออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานมากขึ้น
การเดินนาทีที่ 11-20 อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นเรื่อยๆเหลื่อเริ่มออก เมื่อเส้นเลือดส่วนที่ใกล้ผิวหนังขยายขึ้นเริ่มปลดปล่อยความร้อนออกมา เมื่อเดินมากขึ้นจะเผาผลาญได้มากไปถึง 7 แคลอรี่ต่อนาทีและหายใจเร็วขึ้น สารฮอร์โมน เช่น เอฟพะเนฟพริน และกลูคากอน จะถูกปล่อยออกมามากขึ้น เพื่อเพิ่มเชื้อให้กับกล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานอยู่
การเดินนาทีที่ 46-60 กล้ามเนื้ออาจจะรู้สึกเมื่อยล้าเมื่อปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ลดลง เมื่อร่างกายเริ่มเย็นตัวลง ชีพจรจะเต้นช้าและหายใจข้าลง อัตราการเผาผลาญพลังงานจะลดน้อยลง แต่ยังสูงกว่าตอนที่เริ่มเดิน จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญจคงที่ไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง และท้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว
Pitcha…
ขอบคุณข้อมูลจาก M2F 7 สิงหาคม 2560
Update 08/08/2017
*******************************************************************************************************
ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้...ถ้าไม่อยากแก่เร็ว

การนั่งอยู่กับที่นานๆ นอกจากจะทำให้อ้วน เสี่ยงต่อโรคต่างๆยังทำให้คุณแก่เร็วกว่าอายุจริง นี่คือบทสรุปของงานวิจัยบ่าสุดจากคณะวิจุยมหาวิทยาลัย California San Diego และยังเผยแพร่ลงใน American Journal of Epidemiology ซึ่งทำการศึกษาผู้หญิงจำนวน 1500 คน พบว่า เซลล์ร่างกายของผู้หญิงที่นั่งติดเก้าอี้เป็นเวลานานกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันและออกกำลังกายน้อยกว่า 40 นาทีต่อวัน จะมีอายุเซลล์แก่กว่าผู้หญิงที่ที่ไม่นั่งติดกับที่ถึง 8 ปี งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าคนที่มีอายุแก่กว่าวัยจะมีความยาวของเทโลเมียร์ที่สั้นกว่า (เทโลเมียร์คือดีเอ็นเอส่วนปลายสุดของโครโมโซมที่ช่วยปกป้องโครโมโซมของเราไว้จากการเสื่อมสภาพ) ปกติในตัวเราทุกคนเกิดมาจะมีความยาวของเทโลเมียร์ประมาณ 10000 คู่เบล เมื่อร่างกายเติบโตขึ้นความยาวของเทโลเมียร์จะหดสั้นลง โดยเฉลี่ยปีละ 40-60 คู่เบส ยิ่งเรารักษาความยาวของเทโลเมียร์ไว้ได้มากเท่าไร นั่นหมายถึงเราจะดูอ่อนกว่าวัยเท่านั้น ปัจจัยหลักที่ทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลงมีหลายอย่างตั้งแต่อายุที่มากขึ้น การดื่มแอลกอฮอล์ ความเคียด มลภาวะ และการออกกำลังกาย ดังนั้นการลุกจากที่นั่งเพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง และสิ่งที่คุณก็รู้อยู่แล้วคือ การนั่นนานส่งผลให้อัตราการเผาผลาญลดลง ระดับการควบคุมน้ำตาลและความดันเลือดเปลี่ยนไป ความอ้วนถามหา ความแก่มาเยือน ถ้าไม่อยากแก่ด้วย อ้วนด้วย ก็จงลุกเดินเดี๋ยวนี้
Pitcha…
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Hive 37
Update 01/08/2017
******************************************************************************************************

มารู้จักเล็บเจลกัน....
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนมักมีคำถามว่า สีทาเล็บธรรมดา กับ สีเจล นั้นแตกต่างกันอย่างไร ทำไมสีเจลถึงได้แพงแสนแพงขนาดนั้น เรามาทำความรู้จักกับสีทาเล็บเหล่านี้กันดีกว่าค่ะ
ปัจจุบันวิวัฒนาการด้านความงามเราก้าวไปไกลมากแล้วค่ะ ไม่เว้นกระทั่ง “น้ำยาทาเล็บ” ซึ่งน้ำยาทาเล็บทั่วๆ ไปที่เรานิยมใช้กันอยู่นี้ จริงๆ แล้วมีข้อเสียอยู่พอสมควร ดังนี้ค่ะ
1. แห้งช้า – กว่าจะตัดสินใจทาเล็บสักทีหนึ่ง ต้องเผื่อเวลาตัวเองไว้เลย 1-2 ชั่วโมงกว่าเล็บจะแห้ง
2. เงางามเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่ง – หลังจากทาเสร็จ หยิบจับโน่นนี่ ไม่ทันไรสีเล็บก็หมองเสียแล้ว
3. ไม่ทนทาน – ทาเล็บมาสวยๆ อยากเก็บไว้อวดนานๆ แต่เผลอแปบเดียว เล็บก็เป็นรอยเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง น้ำยาทาเล็บสีเจล จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อันที่จริงสีเจลกับสีธรรมดาก็ไม่แตกต่างกันมากนะคะ เพราะสีเจลถือเป็นลูกผสมระหว่างสีธรรมดาและเจลต่อเล็บแบบอ่อน (Soak Off Gel) ที่ดึงข้อดีของการทำเล็บแต่ละอย่างมาไว้รวมกัน คือ ทาง่าย ใช้ง่าย มีขวดบรรจุสวยงาม เหมือนสีทาเล็บธรรมดา และมีความทนทาน แวววาว และแห้งเร็ว เหมือนอย่างเจลต่อเล็บนั่นเองค่ะ
ถึงแม้ว่าเล็บเจลจะมีข้อดีมากมายขนาดนี้ แต่สาวๆ บางคนก็ยังชอบทาสีธรรมดาอยู่ เนื่องจากสีเจลมีกระบวนการทาที่ยุ่งยากกว่าค่ะ กว่าเราจะได้เล็บสีเจลแสนสวยนี้ ก่อนอื่นเราต้องตะไบหน้าเล็บออกก่อน จากนั้นจึงทาสีเจลและวาดลวดลายตามชอบ ซึ่งระหว่างการทำเราต้องใช้เครื่องอบสีเจล เพื่ออบให้สีแห้งทีละขั้นตอนด้วยนะคะ
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ กุหลาบสวยย่อมมีหนามแหลมตำมือฉันใด ความสวยของเล็บเจลของเราย่อมมีหนามแหลมยอกใจฉันนั้น เมื่อเล็บเจลอยู่ทนทานเกินไป และเริ่มเห็นเล็บที่งอกมาใหม่จนเกินงาม กระบวนการ “ลบสีเจล” จึงเกิดขึ้นค่ะ และแน่นอนว่าสีที่ทนทานขนาดนี้ ย่อมลบด้วยน้ำยาล้างเล็บธรรมดาไม่ออกง่ายๆ ตามร้านทำเล็บจึงรับลบเล็บสีเจลให้ โดยคิดค่าบริการที่แตกต่างกันออกไปค่ะ
ข้อแนะนำ
สีเจลนี้ไม่เหมาะกับคนขี้เบื่อเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะการตะไบหน้าเล็บทั้งก่อนทา และตอนลบออกจะส่งผลให้เล็บของสาวๆ บางลงเรื่อยๆ อาจส่งผลให้เล็บบาง เปราะ และฉีกหักง่ายขึ้นนะคะ
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทาเล็บแบบไหนก็ไม่ควรทาบ่อย หรือเปลี่ยนสีติดกันหลายวัน สารเคมีจากทั้งน้ำยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บอาจกัดเล็บกัดนิ้วมือได้ สาวๆ ควรเว้นระยะการทาเล็บไว้ด้วยสัก 1-2 เดือน และบำรุงเล็บอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ
ด้วยรักและห่วงใย อยากให้สาวๆ ทุกคนสวยอย่างมีสุขภาพดีค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/54977
update: 02/07/2017
********************************************************************************************
เรื่องของรองเท้า...รองเท้า

ใครบ้างที่ไม่เคยโดนรองเท้ากัด?
ไม่ว่าจะเป็นสาวหรือหนุ่ม รับรองว่าเคยโดนกันถ้วนหน้า...นั่นรองเท้าคู่สวยของฉันราคาหลายพัน หนังแท้ ซื้อจากร้านชื่อดัง ใส่แล้วหลายครั้งยังกัดไม่เลิก...นี่ก็รองเท้าแฟชั่น ราคาไม่กี่ร้อย ใส่แล้วสวยตอนแรก จากนั้นกัดเท้าพัง....รองเท้ากีฬายังกัดเลยค่ะ ไม่เว้นแม้แต่รองเท้าแตะ
ถ้าคุณโดนรองเท้ากัด คุณทำอย่างไรกันบ้าง
- อดทน เชิด เดินสวยต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (แต่ในใจทรมานมาก)
- รีบไปถอดรองเท้าในห้องน้ำ เอาทิชชูชุบน้ำ ค่อยๆบรรจงเช็ดที่รอยกัด
- เดินไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ใส่ซะเลย สบายกว่า
- หาถุงน่องมาใส่สิจ้ะ
- เอาพลาสเตอร์ที่เตรียมมาปิดแผลโดนกัด
- แปะรองกันรองเท้า ดักไว้ก่อนตั้งแต่ซื้อ
- ถอดรองเท้าทันทีเมื่อถึงจุดหมาย
สำหรับ Pitcha ผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งหมดทั้งปวง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมทนสวมรองเท้าคู่สวยต่อไป แต่เราลองมาดู 8 วิธีป้องกันรองเท้ากัดกันดีกว่า
1. ทาออยล์
ทาน้ำมันอย่างน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันละหุ่ง ลงไปด้านในรองเท้าที่มีทีท่าว่าจะต้องกัดเท้าคุณแน่ ๆ (รองเท้าหนังก็สามารถใช้วิธีนี้ได้นะ) ทิ้งเอาไว้ 2-3 วัน แล้วจึงค่อยหยิบมาใส่ น้ำมันที่ทาไปจะช่วยให้รองเท้าของคุณนุ่มขึ้น ป้องกันการถูกรองเท้ากัดได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังคือพื้นรองเท้าด้านในจะเลอะเทอะ อาจทำความสะอาดได้ยาก
2. ทาวาสลีน
อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ คือการใช้วาสลีนทาหนา ๆ ลงไปในรองเท้าตรงบริเวณที่กัดคุณ ทิ้งเอาไว้ 2- 3 ชั่วโมง เช็ดออกด้วยสำลี แล้วจึงนำไปใส่ตามปกติ วิธีนี้จะทำให้หนังนุ่มขึ้นจากภายใน
3. โรยแป้ง
โรยแป้งที่เท้า และทาที่ด้านในรองเท้าทุกครั้งก่อนที่จะสวมรองเท้าคู่ใหม่ ความลื่นของแป้งจะช่วยให้เท้าไม่เสียดสีกับด้านในรองเท้ามากนัก แถมยังดูดความชื้นได้ ช่วยให้ใส่รองเท้าได้สบายขึ้น
ข้อควรระวัง เหมาะกับรองเท้าที่ไม่กัดมากเท่านั้น Pitcha ว่าถ้าเห็นรอยแป้งที่เท้ามันดูแปลกๆนะ
4. แปะแผ่นกันรองเท้ากัดหรือสวมถุงเท้า
วิธียอดนิยมอีกหนึ่งประการก็คือ แปะแผ่นกันรองเท้ากัดไว้ในรองเท้า ซึ่งจะช่วยลดการเสียดสีระหว่างเท้ากับรองเท้าแข็ง ๆ ช่วยให้ใส่รองเท้าได้กระชับพอดีขึ้น หรือจะหาซื้อถุงเท้ามาใส่ เพื่อป้องกันการเสียดสีก็ได้
ข้อควรระวัง การแปะแผ่นกันรองเท้ากัดอาจทำให้รองเท้าคับขึ้นได้

5. เลือกรองเท้าที่ใส่สบาย
นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่สาเหตุและได้ผลดีมากที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วสาว ๆ มักซื้อรองเท้าคู่ใหม่โดยดูจากดีไซน์และลวดลายที่ถูกใจ มากกว่าที่จะคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใส่ (หรือไม่ก็คิดว่าใส่ไปแล้วเดี๋ยวรองเท้าก็ขยายเอง .. ขอบอกว่า หากความรู้สึกแวบแรกบอกว่าใส่มันแล้วไม่สบายเท้า โอกาสที่ในอนาคตจะใส่มันแล้วถูกกับเท้าคุณมากขึ้นนั้นมีน้อยมาก ๆ เลยค่ะ) เพราะฉะนั้นครั้งต่อไป จำเป็นต้องให้ "ความสะดวกสบายในการสวมใส่" เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาซื้อรองเท้าด้วย หากสวย ดีไซน์โดน แต่ใส่แล้วไม่สบายเท้า ก็ตัดใจเสียเถอะค่ะ .. ไม่คุ้มที่จะแลกรองเท้าคู่เดียว กับเท้าที่เหวอะเป็นแผลเลยเนอะ จริงไหม
ข้อควรระวัง ส่วนใหญ่รองเท้าที่ใส่สบายจะเป็นรองเท้าที่ไม่ถูกใจ คือดูล่าสมัย Pitcha ว่าก็ต้องทำใจนะค่ะ

6. ถูด้วยขี้ผึ้ง
ถูรองเท้าบริเวณที่กัดด้วยเทียนขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งจะทำให้รองเท้านิ่ม และลื่นใส่ง่ายขึ้น ป้องกันการถูกรองเท้ากัดได้
7.สวมถุงน่อง
วิธีนี้นอกจะทำให้น่องดูสวยเรียวขึ้น ยังดูเรียบร้อยและถูกกาลเทศะอีกด้วย
ข้อควรระวัง ถุงน่องมักจะถูกเกี่ยวให้ขาดได้ง่ายดายยิ่งถ้าเป็นสาวประเภทชอบเดินชนโน้นชนนี่ ใส่วันละคู่ก็ไม่พอค่ะ Pitchap ว่าสาวสมัยนี้ชอบโชว์ผิวธรรมชาติมากกว่าและไม่เป็นที่นิยมสำหรับสาวๆรุ่นใหม่เท่าไรนัก
8.เอารองเท้าไปให้ร้านระเบิด
การนำรองเท้าไประเบิดก็เป็นวิธีที่ดีเพราะจะทำให้รองเท้าที่บีบรัดกว้างขึ้นมาอีกนิด แต่อย่าไประเบิดรองเท้าเองนะค่ะ เพราะจะทำให้รองเท้าเสียรูปทรงไปเลย
ข้อควรระวัง การระเบิดรองเท้าอาจทำให้รองเท้าคู่นั้นหลวมไปเลย ต้องกะก่อนว่าจะระเบิดนานแค่ไหน กี่วัน
วันนี้เอาเรื่องของรองเท้ามาฝากกันแค่นี้ก่อนนะค่ะ แล้วจะกลับมาใหม่กับเรื่องราวดีๆ เพื่อสุขภาพและความงาม

Pitcha...
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก https://women.kapook.com/view50805.html
Welcome to ASEAN BeauTech:-
•Cosmetic
•Hair
•Healthy
•Make up
•Skincare
•Surgery
•Others
For more information, please contact or fill in contact form below.
Contact: Ms. Pitchapa Panjai, Mobile: +66 81 610 1199
Email: pitchapa.panjai99@gmail.com Line ID: Lady_iew
ຕິດຕໍ່: ນາງ ພິດສະພາ ປານໃຈ, ມືຖື: +66 81 610 1199
ອີເມວ: pitchapa.panjai99@gmail.com, ໄອດີລາຍ: Lady_iew
ติดต่อ:: คุณพิชชาภา ปานใจ, มือถือ +66 81 610 1199
อีเมล์: pitchapa.panjai99@gmail.com ไอดีไลน์: Lady_iew
tag: Healthy,ASEAN International Beauty Technology Articles:-Cosmetic,Hair,Healthy,Make up,Skincare,Surgery,Others